คลินิกเสริมความงาม
(Aesthetic Clinic)
ลูกค้าของคลินิกเสริมความงาม มักจะมีข้อกังวล (Pain Points) เกี่ยวกับประสบการณ์ก่อน ระหว่าง และหลังการใช้บริการ ซึ่งอาจแบ่งออกเป็นหัวข้อต่างๆ ได้ดังนี้
1. ความไม่มั่นใจในผลลัพธ์
• กังวลว่าผลลัพธ์จะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
• กลัวผลข้างเคียงหรือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์
• ไม่แน่ใจว่าบริการหรือผลิตภัณฑ์เหมาะสมกับตนเอง
2. การขาดข้อมูลที่ชัดเจน
• ไม่เข้าใจขั้นตอนการทำหัตถการหรือรายละเอียดของบริการ
• ไม่มีคำแนะนำที่ชัดเจนเกี่ยวกับบริการที่เหมาะสมกับปัญหาของตน
• ขาดข้อมูลเกี่ยวกับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการ
3. ความเชื่อมั่นในมาตรฐานความปลอดภัย
• กลัวการติดเชื้อหรือปัญหาด้านสุขอนามัยในคลินิก
• ไม่มั่นใจในความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ เช่น ฟิลเลอร์ โบท็อกซ์
• กังวลเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ให้บริการ
4. ราคาที่ไม่โปร่งใส
• ราคาสูงและไม่มีการแจ้งรายละเอียดที่ชัดเจน
• การบังคับขายแพ็กเกจหรือบริการเสริมเกินความจำเป็น
• โปรโมชั่นที่ซับซ้อนและทำให้เข้าใจผิด
5. ประสบการณ์การบริการ
• ต้องรอนานเกินไปในวันนัดหมาย
• การบริการไม่เป็นมิตรหรือไม่มีความใส่ใจ
• บรรยากาศของคลินิกไม่เป็นที่น่าประทับใจ
6. ผลกระทบหลังการทำหัตถการ
• อาการบวม ช้ำ หรือผลข้างเคียงที่ไม่ได้รับการแจ้งล่วงหน้า
• ขาดคำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังการทำหัตถการ
• ไม่มีการติดตามผลหรือการช่วยเหลือหากมีปัญหา
7. ความยุ่งยากในการจองและติดต่อนัดหมาย
• ช่องทางการติดต่อไม่สะดวก เช่น การตอบแชทล่าช้า
• การจองคิวยุ่งยากหรือไม่ได้คิวตามที่ต้องการ
• ข้อมูลในระบบไม่สอดคล้องกัน เช่น การยืนยันนัดซ้ำซ้อน
การออกแบบแบรนด์ใหม่หรือการรีแบรนด์ให้กับคลินิกเสริมความงาม และสร้าง “สำนักงานใหญ่ของแบรนด์บนโลกออนไลน์” ที่ทรงพลังและอยู่ในทรงของแบรนด์ระดับมืออาชีพ สามารถช่วยลดข้อกังวล (Pain Points) ของลูกค้าคลินิกเสริมความงาม และสามารถช่วยลดความเสี่ยงที่จะถูกลูกค้าฟ้องได้
1. สิ่งที่จะถูกนำไปเป็น “หลักในการวางกลยุทธ์” เพื่อรีแบรนด์และสร้างสำนักงานใหญ่ของแบรนด์บนโลกออนไลน์ให้กับคลินิกเสริมความงาม เพื่อแก้ไขข้อกังวล (Pain Points) ของลูกค้าคลินิกเสริมความงาม และลดความเสี่ยงที่จะถูกลูกค้าฟ้อง
ทั้ง “แนวทางแก้ไขข้อกังวล (Pain Points) ของลูกค้าคลินิกเสริมความงาม” และ “แนวทางในการดำเนินธุรกิจคลินิกเสริมความงาม เพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกลูกค้าฟ้อง” ล้วนต้องอาศัย “หลักธรรมาภิบาล” (Good Governance) ดังนั้น สิ่งที่จะถูกนำไปเป็น “หลักในการวางกลยุทธ์” เพื่อรีแบรนด์และสร้างสำนักงานใหญ่ของแบรนด์บนโลกออนไลน์ให้กับคลินิกเสริมความงาม คือ “หลักธรรมาภิบาล”
หมายเหตุกลยุทธ์ของ BRANDING.co.th
• สำนักงานใหญ่ของแบรนด์บนโลกออนไลน์ คือ เว็บไซต์ที่ถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่หลายมิติให้กับแบรนด์ (ไม่ใช่แค่มีเว็บไซต์)
• สาขาของแบรนด์บนโลกออนไลน์ คือ โซเชี่ยล มีเดีย และสื่อออนไลน์ที่ไม่สามารถเป็นทุกอย่างให้กับแบรนด์ได้ เช่น เป็นเพียงร้านค้าให้กับแบรนด์ เป็นเพียงช่องทางติดต่อของแบรนด์ เป็นต้น
2. หลักธรรมาภิบาล คืออะไร?
“หลักธรรมาภิบาล” (Good Governance) คือ หลักการบริหารจัดการที่เน้นความโปร่งใส ยุติธรรม มีประสิทธิภาพ และคำนึงถึงส่วนรวม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและองค์กรที่เกี่ยวข้อง
หลักธรรมาภิบาล ประกอบด้วย 6 หลักสำคัญ
(1) หลักนิติธรรม (Rule of Law) : การปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดและเป็นธรรม ไม่มีการเลือกปฏิบัติ
(2) หลักคุณธรรม (Morality) : การมีจริยธรรม ซื่อสัตย์สุจริต และดำเนินการตามหลักจริยธรรมที่เหมาะสม
(3) หลักความโปร่งใส (Transparency) : การเปิดเผยข้อมูล การให้ประชาชนมีโอกาสตรวจสอบและเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
(4) หลักความมีส่วนร่วม (Participation) : การเปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
(5) หลักความรับผิดชอบ (Accountability) : การยอมรับผิดและแสดงความรับผิดชอบต่อผลการดำเนินงาน
(6) หลักความคุ้มค่า (Value for Money) : การใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยไม่สูญเปล่า
ประโยชน์ของหลักธรรมาภิบาล
• ช่วยสร้างความไว้วางใจในองค์กรหรือหน่วยงาน
• ส่งเสริมความยั่งยืนและเสถียรภาพของระบบ
• ลดปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบ
• ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม
หลักธรรมาภิบาล ถือเป็นแนวทางที่สำคัญในทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
3. แนวทางแก้ไขข้อกังวล (Pain Points) ของลูกค้าคลินิกเสริมความงาม
5 ข้อ นี้ คือแนวทางแก้ไขข้อกังวล (Pain Points) ของลูกค้าคลินิกเสริมความงาม ซึ่งล้วนต้องอาศัย “หลักธรรมาภิบาล” (Good Governance) ในการวางกลยุทธ์ เพื่อรีแบรนด์ และสร้างสำนักงานใหญ่ของแบรนด์บนโลกออนไลน์ที่ทรงพลังให้กับคลินิกเสริมความงาม เพื่อช่วยลดข้อกังวล (Pain Points) ของลูกค้าคลินิกเสริมความงาม
(1) สร้างความโปร่งใสในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์และบริการ จนถึงราคา
(2) มีระบบติดตามผลหลังบริการ
(3) ให้ความสำคัญกับความสะอาดและมาตรฐานความปลอดภัย
(4) พัฒนาประสบการณ์ลูกค้าให้เป็นมิตรและมีความใส่ใจ
(5) ใช้เทคโนโลยีช่วยจัดการนัดหมายและการสื่อสารให้รวดเร็วและสะดวกขึ้น
การแก้ไขข้อกังวล (Pain Points) เหล่านี้ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจในระยะยาวให้กับลูกค้าของคลินิกเสริมความงาม
4. แนวทางในการดำเนินธุรกิจคลินิกเสริมความงาม เพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกลูกค้าฟ้อง
การดำเนินธุรกิจคลินิกเสริมความงามให้เป็นไปอย่างถูกต้องและลดความเสี่ยงที่จะถูกลูกค้าฟ้องร้อง ต้องมีการบริหารจัดการที่รัดกุมทั้งในด้านกฎหมาย คุณภาพบริการ และการสื่อสารกับลูกค้า
5 ข้อ นี้ คือแนวทางในการดำเนินธุรกิจคลินิกเสริมความงาม เพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกลูกค้าฟ้อง ซึ่งล้วนต้องอาศัย “หลักธรรมาภิบาล” (Good Governance) ในการดำเนินธุรกิจและวางกลยุทธ์เพื่อรีแบรนด์และสร้างสำนักงานใหญ่ของแบรนด์บนโลกออนไลน์ที่ทรงพลังให้กับคลินิกเสริมความงาม เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่จะถูกลูกค้าฟ้อง
(1) ปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง
• ขอใบอนุญาตประกอบกิจการ : คลินิกต้องจดทะเบียนและได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงต้องมีใบอนุญาตดำเนินกิจการสถานพยาบาล (อ.5)
• แพทย์และบุคลากรที่ได้รับอนุญาต : แพทย์ที่ให้บริการต้องมีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม และต้องมีความเชี่ยวชาญในด้านเสริมความงาม บุคลากรอื่นๆ เช่น พยาบาล หรือผู้ช่วย ต้องผ่านการอบรมและทำงานภายใต้การกำกับของแพทย์
• ปฏิบัติตามมาตรฐานของสถานพยาบาล : คลินิกต้องมีมาตรฐานด้านความสะอาด ความปลอดภัย เครื่องมือและอุปกรณ์ต้องได้มาตรฐาน และมีการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ
(2) การให้บริการที่โปร่งใสและชัดเจน
• แจ้งข้อมูลครบถ้วน : ก่อนให้บริการ ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับบริการที่ลูกค้าจะได้รับ ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ความเสี่ยง และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจโดยรู้ข้อมูลครบถ้วน
• เอกสารยินยอม (Informed Consent) : ลูกค้าต้องลงนามในเอกสารยินยอมก่อนทำหัตถการทุกครั้ง โดยในเอกสารต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการรักษา ความเสี่ยง และข้อควรระวัง
• การติดตามผลการรักษา : หลังการรักษา ควรมีการติดตามผลและให้คำแนะนำอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแลและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
(3) ประกันภัยและการจัดการความเสี่ยง
• ทำประกันความรับผิดชอบทางการแพทย์ : เพื่อคุ้มครองกรณีเกิดข้อผิดพลาดหรือปัญหาที่อาจนำไปสู่การฟ้องร้อง
• ระบบจัดการข้อร้องเรียน : จัดให้มีช่องทางการร้องเรียนและแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วและเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลาม
(4) การจัดการด้านการตลาด
• โฆษณาที่ไม่เกินจริง : การโฆษณาบริการต้องมีความน่าเชื่อถือ ห้ามโอ้อวดเกินจริง และต้องได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
• ให้คำแนะนำตามความจริง : หลีกเลี่ยงการแนะนำบริการที่ไม่เหมาะสมกับลูกค้า หรือบริการที่ลูกค้าไม่มีความจำเป็นต้องทำ
(5) การบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า
• สร้างความไว้วางใจ : มีการสื่อสารที่ดีและโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจให้กับลูกค้า
• รักษาข้อมูลส่วนบุคคล : คลินิกต้องปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA (กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล) เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า
ความสำเร็จของธุรกิจคลินิกเสริมความงามไม่เพียงขึ้นอยู่กับการให้บริการที่ดี แต่ยังต้องดำเนินงานอย่างโปร่งใส ปฏิบัติตามกฎหมาย และมีการจัดการความเสี่ยงที่ดี เพื่อลดปัญหาที่อาจนำไปสู่การฟ้องร้องในอนาคต
บริการให้คำปรึกษาเจ้าของคลินิกเสริมความงาม เกี่ยวกับการสร้างแบรนด์และการทำ Digital Marketing จากประสบการณ์กว่า 10 ปี ของผู้ก่อตั้ง BRANDING.co.th
เป็นที่ปรึกษาและให้บริการทุกขั้นตอน โดย คุณอลงกรณ์ ดอกดวง (Founder & MD of BRANDING.co.th) ประสบการณ์กว่า 10 ปี ในการสอนและให้คำปรึกษากับเจ้าของธุรกิจหลากหลายประเภท โดยมีประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาเจ้าของคลินิกเสริมความงามมาแล้วหลายท่าน
____________________________________________
Service Package
____________________________________________
Consulting Package
1. รูปแบบการให้บริการ
• รับฟังสถานการณ์ปัจจุบันของลูกค้า เพื่อทำความเข้าใจธุรกิจและตลาดของลูกค้า เช่น สินค้า บริการ กลุ่มเป้าหมาย คู่แข่ง ปัญหา ความต้องการ ทรัพยากรที่มี โครงสร้างองค์กร รูปแบบการบริหาร ข้อจำกัดของลูกค้า เป็นต้น พร้อมทั้งตรวจสอบประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดออนไลน์ของลูกค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น Social Media และ Website เป็นต้น
• เมื่อเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของลูกค้าแล้ว ที่ปรึกษาจะวิเคราะห์ธุรกิจ ดูจุดแข็ง จุดอ่อน โครงสร้างองค์กร และทรัพยากรที่มีอยู่ เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหา และมองหาโอกาสที่ซ่อนอยู่ในธุรกิจของลูกค้าหรือสร้างโอกาสใหม่ ๆ ขึ้นมา ในขั้นตอนนี้ ประสบการณ์และวิสัยทัศน์ของที่ปรึกษาคือสิ่งสำคัญ การวิเคราะห์ที่แม่นยำ และการเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ มีโอกาสสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและชัดเจน
• การกำหนดทิศทางที่ถูกต้อง, การวางกลยุทธ์ที่ชัดเจน และการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม คือกุญแจสำคัญในการสร้างแบรนด์และทำ Digital Marketing ในขั้นตอนนี้ ที่ปรึกษาจะนำเสนอกลยุทธ์ให้ลูกค้าพิจารณาความเป็นไปได้ (จากประสบการณ์กว่า 10 ปี ลูกค้าเกือบทั้งหมด จำเป็นต้องรีแบรนด์) โดยที่ปรึกษาจะแนะนำเครื่องมือที่ต้องใช้ให้กับลูกค้าด้วย เช่น เว็บไซต์ โดยลูกค้าจะทำเอง (กรณีลูกค้าทำเว็บไซต์เป็น) หรือจะ Outsource ก็ได้
2. หมายเหตุกลยุทธ์ของ BRANDING.co.th
• “สำนักงานใหญ่ของแบรนด์บนโลกออนไลน์” คือ เว็บไซต์ที่ถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่หลายมิติให้กับแบรนด์ (ไม่ใช่แค่มีเว็บไซต์)
• “สาขาของแบรนด์บนโลกออนไลน์” คือ โซเชี่ยล มีเดีย และสื่อออนไลน์ที่ไม่สามารถเป็นทุกอย่างให้กับแบรนด์ได้ เช่น เป็นเพียงร้านค้าให้กับแบรนด์ เป็นเพียงช่องทางติดต่อของแบรนด์ เป็นต้น
• แบรนด์ระดับมืออาชีพ ต้องมี “เว็บไซต์ที่เป็นสำนักงานใหญ่ของแบรนด์บนโลกออนไลน์”
3. บริการที่ลูกค้าจะได้รับและราคา
• Private Consult : ใน Consulting Package ลูกค้าจะได้รับ Private Consult 1 วัน (6 ชั่วโมง) ลูกค้าสามารถเลือกวันและเลือกเวลาได้เอง ผู้เข้าร่วม Private Consult ต้องเป็นเจ้าของธุรกิจเท่านั้น โดยที่ปรึกษาจะให้คำปรึกษาเพียง 1 แบรนด์
• Private Workshop : ใน Consulting Package หลังจากผ่าน Private Consult 1 วัน แล้ว จะไม่มี Private Workshop ให้กับลูกค้า
• การออกแบบและจัดทำเว็บไซต์ : ใน Consulting Package ที่ปรึกษาจะไม่ได้ออกแบบและจัดทำเว็บไซต์ เพื่อ “รีแบรนด์” และใช้เป็น “สำนักงานใหญ่ของแบรนด์บนโลกออนไลน์” ให้กับลูกค้า
• ระยะเวลาให้คำปรึกษา : สำหรับ Consulting Package หลังจากผ่าน Private Consult 1 วัน แล้ว ลูกค้าสามารถขอคำปรึกษาได้ 2 เดือน โดยสามารถติดต่อได้ 24 ชั่วโมง ทุกวัน ผ่าน 3 ช่องทาง คือ โทรศัพท์ 097-225-2555, LINE ID @branding และ Messenger
• ราคา : Consulting Package ราคา 32,100 บาท (เป็นราคาพิเศษ ลดจากราคาปกติ 64,200 บาท) กรณีทำหัก ณ ที่จ่าย 3% ยอดโอน 31,200 บาท ยอดหัก ณ ที่จ่าย 900 บาท (กรณีมีผู้เข้าร่วม Private Consult มากกว่า 1 ท่าน บวกเพิ่มท่านละ 16,050 บาท กรณีทำหัก ณ ที่จ่าย 3% ยอดโอน 15,600 บาท ยอดหัก ณ ที่จ่าย 450 บาท)
____________________________________________
Rebranding Package
1. รูปแบบการให้บริการ
• Rebranding Package คือ Consulting Package + Rebranding
• Rebranding Package หมายถึงลูกค้าต้องการให้ที่ปรึกษา (คุณอลงกรณ์ ดอกดวง, Founder & MD of BRANDING.co.th) เป็นผู้รีแบรนด์ให้ เนื่องจากลูกค้าไม่สะดวกที่จะรีแบรนด์เอง และไม่สะดวกที่จะ Outsource ผู้ให้บริการรายอื่น โดยการรีแบรนด์ ไม่ใช่แค่การปรับโลโก้หรือสีสันของแบรนด์ แต่เป็นกระบวนการปรับปรุงและออกแบบตัวตนของแบรนด์ให้สอดคล้องกับแก่นของแบรนด์ตามเป้าหมายและกลยุทธ์ใหม่ที่ได้วางเอาไว้ตาม Consulting Package
• การออกแบบแบรนด์ใหม่เพื่อรีแบรนด์ จะทำที่เว็บไซต์ เพราะเว็บไซต์ถือเป็นสำนักงานใหญ่ของแบรนด์บนโลกออนไลน์ การรีแบรนด์อย่างมีกลยุทธ์จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ใหม่ที่แข็งแกร่งและเชื่อมโยงแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• หลังจากออกแบบแบรนด์ใหม่เสร็จสิ้น ที่ปรึกษาจะนำเสนอเพื่อเปรียบเทียบระหว่างแบรนด์ใหม่กับแบรนด์เดิม เพื่อให้ลูกค้าเห็นความแตกต่างที่ชัดเจน ทั้งในแง่ของภาพลักษณ์ การสื่อสาร การบริหารธุรกิจ และความรู้สึกที่แบรนด์สื่อถึงกลุ่มเป้าหมาย การเปรียบเทียบนี้จะช่วยให้ลูกค้ามองเห็นว่าแบรนด์ใหม่สามารถตอบโจทย์เป้าหมาย และสะท้อนตัวตนที่ต้องการได้อย่างไร เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในทิศทางใหม่ของแบรนด์ ที่ออกแบบมาเพื่ออนาคตที่แข็งแกร่งกว่าเดิม
2. บริการที่ลูกค้าจะได้รับและราคา
• Private Consult : ใน Rebranding Package ลูกค้าจะได้รับ Private Consult 1 วัน (6 ชั่วโมง) ลูกค้าสามารถเลือกวันและเลือกเวลาได้เอง ผู้เข้าร่วม Private Consult ต้องเป็นเจ้าของธุรกิจเท่านั้น จำนวนไม่เกิน 3 ท่าน โดยที่ปรึกษาจะให้คำปรึกษาเพียง 1 แบรนด์
• Private Workshop : ใน Rebranding Package หลังจากผ่าน Private Consult 1 วัน แล้ว จะมี Private Workshop ให้กับลูกค้า จำนวน 3 ครั้ง (เดือนละ 1 ครั้ง, ครั้งละ 3 ชั่วโมง) ลูกค้าสามารถเลือกวันและเลือกเวลาได้เอง ผู้เข้าร่วมเวิร์คช็อปประกอบด้วย เจ้าของธุรกิจ และผู้ที่เกี่ยวข้องในการเตรียมข้อมูลเพื่อใช้ทำเว็บไซต์ (รวมทั้งหมด ไม่เกิน 6 ท่าน)
• การออกแบบและจัดทำเว็บไซต์ : ใน Rebranding Package ที่ปรึกษาจะออกแบบและจัดทำเว็บไซต์ให้กับลูกค้า จำนวน 1 เว็บไซต์ เพื่อ “รีแบรนด์” และใช้เป็น “สำนักงานใหญ่ของแบรนด์บนโลกออนไลน์” มีระยะเวลาในการทำงาน 3 เดือน โดยลูกค้าจะเป็นผู้เตรียมข้อมูลและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการทำเว็บไซต์ (ค่าแพคเกจเว็บไซต์ + ค่าโดเมนเนม)
• ระยะเวลาให้คำปรึกษา : สำหรับ Rebranding Package หลังจากผ่าน Private Consult 1 วัน แล้ว ลูกค้าสามารถขอคำปรึกษาได้ 3 เดือน โดยสามารถติดต่อได้ 24 ชั่วโมง ทุกวัน ผ่าน 3 ช่องทาง คือ โทรศัพท์ 097-225-2555, LINE ID @branding และ Messenger
• ราคา : Rebranding Package ราคา 214,000 บาท (เป็นราคาพิเศษ ลดจากราคาปกติ 428,000 บาท) กรณีทำหัก ณ ที่จ่าย 3% ยอดโอน 208,000 บาท ยอดหัก ณ ที่จ่าย 6,000 บาท
____________________________________________
Mentoring Package
1. รูปแบบการให้บริการ
• Mentoring Package คือ Consulting Package + Rebranding Package + Mentoring
• สำหรับ Mentoring Package ที่ปรึกษาจะไม่เพียงแค่ให้คำแนะนำในด้านกลยุทธ์เท่านั้น แต่จะช่วยพัฒนาศักยภาพของธุรกิจและช่วยพัฒนาทีม Digital Marketing ให้ด้วย โดยจะมีการร่วมประชุมกับทีมบริหารเพื่อร่วมเสนอไอเดียในการพัฒนาธุรกิจ (ไม่ได้ช่วยบริหารและไม่ใช่ผู้ตัดสินใจ) และจะร่วมทำ Workshop กับทีม Digital Marketing เพื่อแนะนำความรู้ที่จำเป็น เช่น การสร้างคอนเทนท์ที่มีประสิทธิภาพ
• การมีที่ปรึกษา เป็น Mentor ให้ด้วย จะช่วยให้ธุรกิจสามารถนำกลยุทธ์ไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งจะเสริมสร้างขีดความสามารถของทีม Digital Marketing ให้สูงขึ้น และสามารถพึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
2. บริการที่ลูกค้าจะได้รับและราคา
• Private Consult : ใน Mentoring Package ลูกค้าจะได้รับ Private Consult 1 วัน (6 ชั่วโมง) ลูกค้าสามารถเลือกวันและเลือกเวลาได้เอง ผู้เข้าร่วม Private Consult ต้องเป็นเจ้าของธุรกิจเท่านั้น จำนวนไม่เกิน 3 ท่าน โดยที่ปรึกษาจะให้คำปรึกษาเพียง 1 แบรนด์
• Private Workshop : ใน Mentoring Package หลังจากผ่าน Private Consult 1 วัน แล้ว จะมี Private Workshop ให้กับลูกค้า จำนวน 6 ครั้ง (เดือนละ 1 ครั้ง, ครั้งละ 3 ชั่วโมง) ลูกค้าสามารถเลือกวันและเลือกเวลาได้เอง ผู้เข้าร่วมเวิร์คช็อปประกอบด้วย เจ้าของธุรกิจ, ผู้ที่เกี่ยวข้องในการเตรียมข้อมูลเพื่อใช้ทำเว็บไซต์ และทีม Digital Marketing ของลูกค้า (รวมทั้งหมด ไม่เกิน 6 ท่าน) โดยแบ่งออกเป็น “เวิร์คช็อปทีมผู้บริหาร” จำนวน 3 ครั้ง และ “เวิร์คช็อปทีม Website + Digital Marketing” จำนวน 3 ครั้ง
• การออกแบบและจัดทำเว็บไซต์ : ใน Mentoring Package ที่ปรึกษาจะออกแบบและจัดทำเว็บไซต์ให้กับลูกค้า จำนวน 1 เว็บไซต์ เพื่อ “รีแบรนด์” และใช้เป็น “สำนักงานใหญ่ของแบรนด์บนโลกออนไลน์” มีระยะเวลาในการทำงาน 3 เดือน โดยลูกค้าจะเป็นผู้เตรียมข้อมูลและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการทำเว็บไซต์ (ค่าแพคเกจเว็บไซต์ + ค่าโดเมนเนม)
• ระยะเวลาให้คำปรึกษา : สำหรับ Rebranding Package หลังจากผ่าน Private Consult 1 วัน แล้ว ลูกค้าสามารถขอคำปรึกษาได้ 6 เดือน โดยสามารถติดต่อได้ 24 ชั่วโมง ทุกวัน ผ่าน 3 ช่องทาง คือ โทรศัพท์ 097-225-2555, LINE ID @branding และ Messenger
• ราคา : Mentoring Package ราคา 428,000 บาท (เป็นราคาพิเศษ ลดจากราคาปกติ 856,000 บาท) กรณีทำหัก ณ ที่จ่าย 3% ยอดโอน 416,000 บาท ยอดหัก ณ ที่จ่าย 12,000 บาท